9 ฐานเรียนรู้
ความรู้ที่น่าสนใจ (Documents on web)
ติดต่อเรา
มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ
เลขที่ ๑๑๔ ซอย บี ๑๒ หมู่บ้านสัมมากร สะพานสูง กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐
สำนักงาน ๐๒-๗๒๙๔๔๕๖ (แผนที่)
ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ มาบเอื้อง 038-198643 (แผนที่)
User login
ลิงค์เครือข่าย
รำลึกบูรพาจารย์ ประสานศิษย์ (3)
ตอนที่แล้วเล่าเรื่องการพัฒนาสังคม จาก “โอ่ง” สู่ “อ่าง” เป็นงานเขียนและเรื่องเล่าที่อาจารย์มักจะใช้สอนลูกศิษย์อยู่เสมอ ให้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยที่กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ใน 3 ภาคส่วนของสังคม คือ ภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ อาจารย์แสวงได้ชี้ให้เห็นทางออกของปัญหาด้วยผลงานวิจัยปฏิบัติการ “โรงเรียนโรงนา” โดยตอกย้ำว่ามีวิธีการที่สามารถดึงคนกลับจากเมืองให้กลับมาอยู่ชนบทให้มามีชีวิตอยู่กับ “โอ่ง” ได้อย่างสบายๆ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่อาจารย์แสวงพยายามจะใช้ทฤษฎีการพัฒนาทางสังคมเข้ามาช่วยดำรงวิถีชีวิตในชนบทไว้ได้ ซึ่งก็ทำสำเร็จอย่างน้อยก็มี 200 ครัวเรือนที่ทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง แม้ว่าจะต้านกับกระแสการทิ้งไร่ทิ้งนาไม่ได้แต่ก็มีตัวอย่างเกษตรกรที่ยังคงใช้วัว ใช้ควายและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนให้เห็นเป็นต้นแบบ
ความแหลมคมของพลังอำนาจการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบของอาจารย์แสวง บวกกับการทุ่มเทชีวิต จิตวิญญาณในการเอาวิชาการลงไปแปลงสู่การปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของคนที่ด้อยโอกาสทั้งคนชนบทและคนในเมืองเป็นที่ประจักษ์ โดยเฉพาะคนที่ด้อยโอกาสทั้งหลาย บางกลุ่มก็อยู่ในสลัม บางกลุ่มก็เป็นกลุ่ม Under class เป็นเด็กเสิร์ฟ เป็นคนขอทาน คนกวาดถนนหรือพ่อค้าแม่ขายรายเล็กรายน้อยก็จะรู้จักอาจารย์แสวงไปทั่วแล้วก็จะชื่นชมในความเป็นนักวิชาการเพื่อมวลชน เพื่อคนที่ด้อยโอกาส กลายเป็นที่ฮือฮา เลื่องลือกันไปตั้งแต่ชนชั้นสูงไปจนกระทั่งชนชั้นล่างและเป็นที่ยอมรับในระดับปัญญาชน เช่น ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ศาสตราจารย์ ดร. อมร รักษาสัตย์ ศาสตราจารย์ ดร.จักรกฤษณ์ นรนิติผดุงการ และอีกมากมายหลายคนที่เป็นปัญญาชน เขาเหล่านั้นจะพูดถึงดร.แสวงในฐานะปัญญาชนที่แหลมคม ลึกซึ้ง จริงใจและจริงจัง ทุ่มเทให้กับการทำงานเพื่อสังคมอย่างมาก ภาพที่เห็นชัดเจนที่สุดคือเมื่อ 10 ปีที่แล้วในงานศพของอาจารย์แสวงคลาคล่ำไปด้วยคนที่เข้ามาร่วมงานจนล้นวัดไปหมดและมีหลากหลายระดับชนชั้น ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีต่างๆ ข้าราชการประจำ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงต่างๆ ไปจนถึงตำรวจ พ่อค้า แม่ขาย เด็กเสิร์ฟ คนกวาดถนนแม้กระทั่งขอทานก็มาร่วมงาน ทุกคนล้วนแต่รู้จักอาจารย์แสวง รัตนมงคลมาศ ทั้งที่อาจารย์ไม่ได้มีพื้นเพเป็นชนชั้นสูงหรือชนชั้นปัญญาชนเป็นแต่เพียงเด็กบ้านนอกอยู่แปดริ้ว เข้ามารับจ้างแบกของอยู่ในเมือง เรียนหนังสือก็เรียนแบบสอบเทียบตั้งแต่ชั้น ม.1 ถึง ม.8 แต่เพราะอาจารย์เป็นคนฉลาด ปัญญาดี สอบม.1 ถึง ม.8 เพียง 3 ครั้งก็เรียนจบแล้วจึงใช้เวลาแค่ 3 ปีในขณะที่คนอื่นต้องเรียน 8 ปี
อาจารย์เรียนจบมัธยมก็สอบเอ็นทรานซ์ติดที่รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี เรียนจบจุฬาแล้วก็มาต่อที่นิด้า ได้ทุนจากนิด้าไปเรียนปริญญาเอกต่างประเทศจบแล้วกลับมาเป็นอาจารย์ที่นิด้าตั้งแต่อายุ 21 ปี เป็นบุคคลผู้ซึ่งมีบทบาทในทางการเมือง มีบทบาททั้งในการสร้างพรรคกิจสังคม พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังธรรม พรรคไทยรักไทยในอดีต เพราะฉะนั้นบุคคลสำคัญในทางการเมืองในทางราชการประจำ ในทางตำรวจและในทางทหารจึงรู้จักอาจารย์แสวง แต่อาจารย์ก็ไม่ได้เลือกว่าจะต้องสอนศิษย์เฉพาะปัญญาชนเท่านั้น อาจารย์สอนในชั้นเรียนที่เกริก ที่นิด้า และเกษตร พอกลางคืนก็ออกไปสอนในร้านอาหาร บางครั้งสอนจนเที่ยงคืน สอนจนสว่างนี้เป็นเรื่องธรรมดามาก ท่านมีความเป็นครูในจิตวิญญาณอย่างแท้จริง
มาถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 10 ปีแล้วที่อาจารย์แสวงจากไปอย่างสงบ เสียชีวิตอย่างสามัญชนจริงๆ เป็นปัญญาชนที่สูงส่งแต่ใช้ชีวิตอย่างสามัญชน ตายอย่างสามัญชน สังคมไทยไม่ควรจะมองข้ามบุคคลที่เป็นบูรพาจารย์ ควรที่จะมาบูชาครูบาอาจารย์ที่ดี มาร่วมกันยกย่องส่งเสริมให้เป็นตัวอย่างของครูบาอาจารย์ที่จะพัฒนาสังคมให้ผ่านออกจากวิกฤตให้ได้ ซึ่งทุกวันนี้ก็แน่นอนเหลือเกินว่ามีน้อยอยู่แล้ว จึงอยากจะเชิญชวนคนมาร่วมรำลึกกันในวันงาน “รำลึกบูรพาจารย์ ประสานศิษย์” ระหว่างวันที่ 7-8-9-10 ธันวาคม ที่หน้าคณะพัฒนาสังคม นิด้า กลางสนามฟุตบอลในวันนั้นจะเป็นวันที่ทั้งบูรพาจารย์ในยุคของท่านและบูรพาจารย์ที่เคารพนับถืออาจารย์แสวงและศิษยานุศิษย์ในสถาบันนิด้าเอง ทั้งศิษย์ที่เกริก ที่เกษตร รวมทั้งศิษย์ข้างนอกก็จะมารวมตัวบูชาครูกัน
อาจารย์ยักษ์เชื่อมั่นว่าบรรดาศิษย์และเพื่อนรักอาจารย์แสวงจะได้ประโยชน์จากการมารวมกันพูดคุยถึงเรื่องราวของสังคมในงานนี้เพื่อที่จะได้กลับไปช่วยกันมองสังคมไทยว่าจากปัญหาทุกวันนี้เราจะมีทางออกอย่างไร เหมือนกับที่เมื่อครั้งเก่าก่อนเราทุกคนเคยเดินเข้าไปปรึกษา พูดคุยกับอาจารย์แสวงแล้วได้รับคำตอบกลับมา ครั้งนั้นอาจารย์ได้ทำหน้าที่ดั่ง “แสงสว่างส่องทางสังคมไทย” ครั้งนี้เหล่าบรรดาศิษย์ก็ควรที่จะได้กลับไปรำลึกบูรพาจารย์ ประสานศิษย์พร้อมหน้ากัน แล้วพบกันครับ +