ในช่วงปี พ.ศ.2525 ขณะที่สองค่ายที่มีความคิดต่างกัน จ้องที่จะเปลี่ยนแปลงทิศทางของสังคมโลกให้เป็นไปตามแบบความเชื่อของตน ซึ่งคนก็เรียกให้เข้าใจง่ายๆ ว่าโลกทุนนิยม-เสรีนิยม กับโลกสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์ ประเทศไทยก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องตกอยู่ตรงกลาง โดยสหรัฐอเมริกาก็เข้ามาสนับสนุนในหลายด้านโดยเฉพาะด้านศักยภาพทางการทหาร เพื่อตรึงกำลังของเราไว้ให้สามารถทานการรุกเข้ามาของฝ่ายคอมมิวนิสต์ให้ได้
ห้วงเวลานั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านก็ประกาศปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อให้เป็นทางออก เป็นแสงสว่าง ชี้ให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องไปสุดโต่งทั้งสองด้าน ไม่ต้องเป็นด้านใด ด้านหนึ่งก็ได้เพราะมันไม่เหมาะ มันไม่ใช่ความเป็นเรา แต่การที่จะประกาศเรื่องที่ยากให้คนหมู่มากเข้าใจได้โดยที่ความคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงนี้ก็เรียกได้ว่า เป็นความคิดบนฐานคิดใหม่ (Paradigm Shift) ก็ยากที่จะทำให้คนเข้าใจได้ ท่านก็ทรงเพียรพยายามสร้างต้นแบบพิสูจน์ปรัชญานี้มาเรื่อยๆ เช่นเดียวกับที่สถานการณ์บ้านเมืองก็ได้คลี่คลายไปเมื่อสหภาพโซเวียตซึ่งถือได้ว่าเป็นขั้วตรงข้ามของสหรัฐอเมริกาก็ต้องเข้าสู่สถานการณ์วิกฤต จนต้องแยกประเทศออกเป็น 15 ประเทศ จีนเองก็ปิดประเทศไปหลายปี เพื่อจัดการกับปัญหาภายในซึ่งก็เกิดจากความพยายามพิสูจน์ความเชื่อของตัวเองนั่นเอง
เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่า กลุ่มที่ไปสร้างชุมชนแล้วไม่ยุ่งกับใคร เรียกว่าชุมชนนิยมหรือสังคมนิยมนั้น หลายประเทศก็ไปไม่รอด หรือแม้แต่เจ้าพ่อทุนนิยมเองที่เชื่อมั่นในแนวทางเสรีนิยม ตอนแรกดูเหมือนว่าจะเชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นประเทศอภิมหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลก วันนี้ก็เริ่มแสดงสัญญาณของปัญหาเชิงเศรษฐกิจนานับปการที่มาจากระบบเศรษฐกิจทุนนิยมกลืนกินตัวเอง ยุโรปเองที่หันมาจับมือรวมกันหลายประเทศเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองกับอเมริกา ก็กำลังจะต้องตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไรกับกรีซ และสเปน ส่วนประเทศไทยก็ได้มีการนำเศรษฐกิจพอเพียงไปขยายผลจนเห็นผลชัดขึ้น จนในที่สุดยูเอ็นก็ยอมรับและกบล่าวว่าทางออกที่สำคัญของโลกตอนนี้ก็คือเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง
ในขณะเวลานี้ โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง เราก็กำลังจะได้เห็นความร่วมมือระหว่างอดีตอภิมหาอำนาจ 2 ประเทศที่เคยแตกกันไปแล้วครั้งหนึ่งกลับมาจับมือกันอีกครั้ง นั่นก็คือ จีนกับกลุ่มประเทศอดีตสหภาพโซเวียต ซึ่งนอกจากจะจับมือกันเองแล้ว ยังร่วมมือกับอีก 10 ประเทศอาเซียนกลายเป็น องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Economic Organization) โดยปัจจุบันมีสมาชิกถาวร คือ จีน รัสเซีย คาซัคสถาน คีร์กิซสถาน ทาจิกิสถาน และอุซเบกิสถาน มีประเทศผู้สังเกตการณ์ 5 ประเทศ คือ อัฟกานิสถาน อินเดีย อิหร่าน มองโกเลีย และปากีสถาน ประเทศหุ้นส่วนในการเจรจา 2 ประเทศ คือ เบลารุส และศรีลังกา
เมื่อจีนกับรัสเซียร่วมกับประเทศอื่นๆ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เคยเป็นประเทศเดียวกันมาก่อนอยู่แล้วมาจับมือกันแบบนี้ แถมยังทำท่าว่าจะร่วมมือกับอีกหลายประเทศ อาจจะมีการพัฒนาเศรษฐกิจ การเมือง การทหารร่วมกัน ก็แน่นอนว่าจะต้องก่อให้เกิดความไม่สบายใจกับยักษ์ใหญ่ค่ายเสรีนิยม-ทุนนิยม อย่างสหรัฐอเมริกา
อาจารย์ยักษ์สำเหนียกถึงความไม่พอใจของสองขั้วนี้ทั้งขั้ว จีน รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา มองเห็นเหตุการณ์ที่สะท้อนความไม่พอใจนี้ออกมาในรูปแบบต่างๆ เช่น การที่สหรัฐอเมริกาส่ง นางฮิลลารี คลินตันมาเจรจาด้านการค้า การลงทุน และอุตสาหกรรมต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็แสดงให้เห็นถึงการออกอาการของทางฝ่ายทุนนิยม ที่ระแวงว่าจีนและกลุ่มประเทศที่จับมือกันจะเข้ามาครอบครอง และตักตวงเอาทรัพยากรธรรมชาติ หรือมามีบทบาทชี้นำในกลุ่มอินโดจีนนี้ฝ่ายเดียว ซึ่งแน่นอนว่าตัวเองจะต้องเป็นฝ่ายเสียโอกาสแน่นอน ทางฝ่ายจีนก็ส่งสัญญาณให้เห็นด้วยการที่หนังสือพิมพ์จีนและสมาคมพ่อค้าจีนทั้งหลาย ลุกขึ้นโจมตีการกระทำของอเมริกาอย่างรุนแรง ยิ่งทำให้อาจารย์ยักษ์รู้สึกอย่างมากว่ากำลังเกิดเหตุการณ์คุมเชิงกันอยู่ เพราะเสียงสะท้อนจากสื่อมวลชนนั้นก็น่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับรัฐบาลจีน แม้ว่ารัฐบาลจีนจะไม่เคยลุกขึ้นมาโจมตีเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่สื่อนั่นแหละชี้ให้เห็น มองเห็นเลยว่าอนาคตข้างหน้านี้ ยักษ์ใหญ่ของโลกจะไม่เล่นบทสามัคคีกันแน่นอน แล้วเมื่อช้างสารชนกันเราเองที่เป็นมดตัวเล็กๆ จะอยู่ได้อย่างไร ก็ถึงเวลาที่ต้องมาทบทวนกันแล้วว่า ในโลกปัจจุบันนี้ที่ประเทศไทยเป็นแค่มดตัวเล็กๆ ไม่ได้เป็นช้างสาร และไม่ใช่ยักษ์ ไม่ว่าจะมองเรื่องพื้นที่ ทรัพยากร จำนวนประชากร ความสามารถทางการแข่งขัน ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การพัฒนาบุคลากรเพื่อเป็นกำลังสำคัญ เหล่านี้เราด้อยกว่าเขาทั้งสิ้น
ดังนั้น เมื่อเป็นมดตัวเล็กๆ แต่อยู่ในพื้นที่ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญ เราจะอยู่ในสังคมที่จะกระแทกกระทั้นกันเรื่อยๆ นี้อย่างไร โดยเฉพาะในประเด็นด้านสังคม การค้า การเมือง การทหาร ฝากไว้ให้คิดเท่านี้ก่อน คราวหน้าจะมาชวนกันคิดว่า...ทำไมต้องเป็นเศรษฐกิจพอเพียงจึงจะพากันรอดได้+
แหล่งที่มา:
พอแล้วรวย คมชัดลึก ฉบับวันเสาร์ที่ 28 ก.ค..2555