ฉบับที่แล้ว อาจารย์ยักษ์เล่าเรื่องการเข้าร่วมเป็นวิทยากรพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็น ประเด็นความมั่นคงทางอาหารด้วยการลงมือปฏิบัติ น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงลงสู่แผ่นดินให้เป็นรูปธรรม โดยหยิบยกเอาการสร้างความพอเพียงพื้นฐาน 4 ด้าน คือ พอกิน พออยู่ พอใช้ และคืนกลับความร่มเย็นให้แผ่นดินเป็น 4 พอสำหรับเศรษฐกิจพอเพียงขั้นพื้นฐานที่ทำได้ในแต่ละบ้าน แต่ละครัวเรือน เพียงทำฐาน 4 พอด้วยการปลูกต้นไม้ที่เป็นอาหาร เช่น ผัก สมุนไพรต่างๆ ให้เพียงพอเป็นความหมายของ “พอกิน” ยิ่งถ้าปลูกข้าวได้เองแบบบ้านเราก็ทำนาอินทรีย์ร่วมด้วย มีข้าว มีผัก มีปลาก็เป็นความมั่นคงด้านอาหารที่สร้างได้ในครัวเรือน แค่ “พอกิน” ตัวนี้ตัวเดียวก็สามารถทำได้จริงในครอบครัวไม่ต้องพึ่งพาภายนอก หรือพึ่งพิงให้น้อยที่สุดเท่านี้ก็พอจะมองเห็นทิศทางได้แล้ว หากขยายเป็น 4 พอโดยเพิ่มการปลูกต้นไม้สำหรับทำเครื่องใช้ไม้สอย ให้มีความ “พอใช้” ปลูกไม้เนื้อแข็งเอาไว้เป็นไม้สำหรับสร้างบ้าน ให้ “พออยู่” ก็จะกลายเป็นป่า 3 อย่าง พอต้นไม้เติบโตใหญ่ให้ร่มเงา เราก็จะได้ประโยชน์อย่างที่ 4 คือ พอร่มเย็น ได้คืนกลับสมดุลธรรมชาติให้กับโลก ลดภาวะโลกร้อนแบบทำได้จริง ทำได้เลยในครัวเรือนเล็กๆ ที่อนุมัติตนเองไม่ต้องรอใครผ่านพรบ. มีมากทำมาก มีน้อยทำน้อย ตามกำลังฐานะให้แต่ละบ้านเรือนมีความสุข สมดังคำกล่าวของพวกเราที่ว่า “ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ” ถ้าทำโรงเห็ดก็เพิ่ม “เห็ดมีเก็บ” เสียหน่อยเพื่อตอกย้ำความสมบูรณ์ของอาหาร
นี่คือการสร้างฐาน 4 พอให้กับบ้านตัวเอง เป็นเศรษฐกิจพอเพียงขั้นพื้นฐานที่ตัวเราเองทำได้ ถ้าทำให้ถูกต้อง จริงจังก็จะไม่ได้ช่วยเหลือเฉพาะบ้านเราคนเดียวเท่านั้นแต่อุ้มชูคนได้หลายร้อยคน แล้วถ้าประเทศเราเอาจริง เอาจัง จากฐานของประชากรที่เป็นเกษตรกรในจิตวิญญาณ ด้วยดินและน้ำที่อุดมสมบูรณ์ตามภูมิศาสตร์ที่ตั้งของประเทศ ก็จะอุ้มชูได้ทั้งประเทศเราและประเทศอื่นๆ อีกหลายสิบประเทศที่อดอยาก ยากแค้นมากกว่าเรา โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องตั้งใจทำจริงๆ จังๆ ไม่ใช่จ้องที่จะทำแต่การค้า ต้องตั้งใจทำเพื่อที่จะเลี้ยงดูผู้อื่นให้ได้ด้วย ให้สมกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ตรัสว่า “Our Loss is Our Gain” เมื่อรู้จุดเด่นของรากเหง้าตัวเองก็ต้องตั้งใจรักษาดินให้กลับมาสมบูรณ์ ไม่ใช้สารเคมีในการเพาะปลูก ตั้งใจดูแลป่าให้สมบูรณ์ไม่ทิ้งป่าจนหมดสภาพ หรือหักร้างถางพงจนเขาหัวโกร๋น ต้องตั้งใจบำรุงฟูมฟักแม่น้ำ ให้มีน้ำพอใช้ไม่เน่าเสีย ดูแลน้ำให้สมบูรณ์กระจายให้ทั่วเพื่อเก็บอาหารไว้ดูแลเพื่อนมนุษย์ทั่วโลก สร้างป่าให้เกิดขึ้นทุกบ้าน ขุดหนองน้ำเอาดินที่ขุดได้มาทำโคกเอาไว้หลบน้ำท่วมยามหน้าน้ำ หน้าแล้งก็มีน้ำเก็บกักไว้ใช้รดข้าวในนายามฝนทิ้งช่วง สิ่งเหล่านี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านได้ทรงพระราชทานแนวคิดเอาไว้ให้หมดแล้ว เมื่อนานมาแล้วและพระองค์ยังคงทำอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้
เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านเสด็จที่ทุ่งมะขามหย่อง จ.อยุธยา เพื่อถวายราชสักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย และทอดพระเนตรโครงการพระราชดำริแก้มลิงทุ่งมะขามหย่อง ดูเหมือนว่าผู้ว่าราชการจังหวัดยังได้นำ “เคียว” ที่สร้างไว้สำหรับพระบรมรูปเหมือนของพระเจ้าอยู่หัวในพระอิริยาบถถือเคียวไปให้ทอดพระเนตร โดยจำลองจากภาพที่พระองค์ท่านเคยฉายไว้ในอดีต สะท้อนให้เห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านให้ความสำคัญกับการทำนา ทำอาหาร และทรงเพียรทำจนทั่วโลกยกย่อง ยอมรับ จนองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (The Food and Agriculture Organization – FAO) ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญเทเลฟู้ด (Telefood Award) ซึ่งเป็นเหรียญที่ทำขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก เพื่อเทิดพระเกียรติที่ทรงอุทิศพระองค์เพื่อความผาสุกของอาณาประชาราษฎร์ในถิ่นชนบทไทย ให้ยืนหยัดต่อสู้เพื่อผลผลิตทางการเกษตรและพึ่งพาตนเองได้ รางวัลนี้มอบไว้เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๔๒
ผ่านมาจนถึงวันนี้ อาจารย์ยักษ์ย้อนระลึกกลับไปเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าประทับใจที่ได้เกิดเป็นคนไทยที่มีแบบอย่างดีๆ ให้ได้ระลึกถึงและปฏิบัติตาม ได้มีแนวทางออกจากปัญหาที่เหมาะสมกับความเป็นเรา สอดคล้องกับพื้นฐานของคนในเขตเกษตรกรรมแบบบ้านเรา ได้มีหลักวิชาการมากมายที่พระองค์ท่านได้พระราชทานไว้ให้เลือกนำมาปฏิบัติ โดยเฉพาะปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ชาวต่างชาติพากันทึ่งมากในพระอัจฉริยภาพของพระเจ้าอยู่หัวฯ แล้วก็มาสะดุดกับคำถามสำคัญจากการประชุมนานาชาติวันนั้นที่อาจารย์ยักษ์อยากให้ทุกคนได้ช่วยกันตอบ คือนักวิชาการจากแคนาดาบอกกับอาจารย์ยักษ์ว่า “เขาทึ่งมากกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัวฯ ทึ่งมากเวลาที่เห็นคนไทยยืนเคารพในหลวงและชื่นชมพระองค์ท่านอย่างที่เขาไม่เคยเห็นในที่ไหนมาก่อน เขาชื่นชมมากกับนโยบายของหลายหน่วยงานที่บอกว่าจะนำเศรษฐกิจพอเพียงเป็นธงนำทั้งระดับท้องถิ่นไปจนถึงประเทศ แต่เขางงมากที่สุดก็ตอนที่เขาไม่ค่อยได้เห็นคนไทยทำตามที่ตัวเองพูดหรือกำหนดนโยบายไว้ ...เป็นเรื่องที่เขาสนใจจนถึงขั้นอยากที่จะมาศึกษาถึงความลึกซึ้งและแปลกประหลาดในความเป็นไทยที่เป็นแบบนี้...
อาจารย์ยักษ์ฟังเขาถามอย่างจริงจัง ก็ได้แต่ยืนนิ่งและเก็บคำถามมาฝากไปยังคนไทยให้ช่วยกันคิดว่า จะตอบชาวต่างชาติอย่างไรกับคำถามนี้ ทดลองตอบตัวเองทุกวันก่อนก็คงดี วันที่เขาลงไปสำรวจสอบถามจะได้ตอบได้คล่องแคล่วว่องไว ไม่อึกอัก อายเขา+
แหล่งที่มา:
พอแล้วรวย คมชัดลึก ฉบับวันเสาร์ที่ 2 มิ.ย..2555