9 ฐานเรียนรู้
ความรู้ที่น่าสนใจ (Documents on web)
ติดต่อเรา
มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ
เลขที่ ๑๑๔ ซอย บี ๑๒ หมู่บ้านสัมมากร สะพานสูง กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐
สำนักงาน ๐๒-๗๒๙๔๔๕๖ (แผนที่)
ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ มาบเอื้อง 038-198643 (แผนที่)
User login
ลิงค์เครือข่าย
ไม่เชื่อโบราณจะบานบุรี ถ้าเชื่อโบราณไม่นานจะได้ดี (1)
ในภาวะที่สังคมอาเซียนสิบประเทศกำลังจะรวมตัวกันเพื่อทำให้เป็นชุมชนเดียวกันโดยจะเปิดเสรีในทุกๆ ด้าน และจะร่วมมือกัน 3 ด้านหลักๆ ด้านการเมือง ความมั่นคง เป็นด้านที่หนึ่ง ด้านที่สองได้แก่การเปิดเสรีทางการค้า และด้านที่สามคือ เรื่องสังคมและวัฒนธรรม ทั้งสามเรื่องนี้ เรื่องที่รัฐบาลกำลังเอาจริงเอาจัง เป็นเรื่องเป็นราว เป็นข่าว เป็นคราวทำท่าว่าจะสำเร็จ คือเรื่องของการเปิดเสรีทางการค้า แน่นอนว่าแต่ละประเทศในกลุ่มอาเซียนก็ทยอยกันเปิดเสรีไปหลายรายการแล้ว โดยเฉพาะไทยน่าจะเปิดเสรีมากที่สุดในบรรดากลุ่มประเทศอาเซียน สถานการณ์ในตอนนี้มีหลายเรื่องที่อาจารย์ยักษ์ห่วงกังวล อยากจะฝากให้ผู้อ่านที่สนใจลองคิดตาม
เรื่องแรกคือเรื่องของทรัพยากร ซึ่งในหลายประเทศอาเซียนยังมีทรัพยากรมาก เช่น พม่า เมื่อเปิดเสรีการค้า นักการค้า การลงทุนทั้งหลายก็คงจะรุมเข้าไปอยากจะกอบโกยกันมากมาย หรือแม้แต่ไทยเราก็เช่นกัน ถ้าเราเปิดเสรีกันหลายๆ ด้านโดยไม่เตรียมพร้อมเลย คนส่วนใหญ่ก็หวังแต่ว่าจะวิ่งโร่ไปหาเงิน แต่อาจารย์ยักษ์เห็นว่า ในสถานการณ์นี้มีคนจำนวนน้อยเท่านั้นแหละที่จะได้ประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้า แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ประโยชน์ แถมตอนนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะเปิดเสรีอะไรกันบ้าง ผลกระทบที่จะถึงตัวมีอะไรบ้าง แต่ละคนก็อยู่กันไปวันๆ ส่วนอีกหลายคนที่เห็นโอกาสก็แทนที่จะเตรียมพร้อมรับมือกับเฮละโลตามกระแสกันไป อาจารย์ยักษ์ไปบรรยายหลายที่ได้ลองไถ่ถาม ทั้งนักบริหารผู้ที่มีความรู้ทั้งปริญญาตรี ปริญญาโท แม้กระทั่งปริญญาเอก ก็ได้คำตอบเดียวกัน อย่างตอนนี้มีเครือข่ายชาวนาจากทั่วประเทศมาดูงานกันเป็นร้อยๆ รวมทั้งที่มาเข้าอบรมที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง เท่าที่ฟังดูแล้วก็ไม่ได้เตรียมตัวที่จะรองรับอะไรอย่างจริงจัง การประชาสัมพันธ์ การเตรียมตัวรองรับโลกที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วก็ไม่ได้มีการเตรียมการกัน
โลกที่กำลังจะมาถึงนี้ แน่นอนว่าคนเก่ง คนที่มีทุนมากกว่า ความรู้มากกว่า มีประสบการณ์มากกว่า เรียกว่ามีเขี้ยวมากกว่าทางการค้าเขาจะพากันเฮละโลกันเข้ามาเพื่อเป้าหมายคือทรัพยากร ในขณะที่ทรัพยากรจะยิ่งจำกัดลง เพราะสภาพแวดล้อมที่แปรปรวนมากขึ้น ภัยธรรมชาติ ความอดอยาก ความแปรปรวนทางการเมืองจะรุนแรงมากขึ้น โบราณก็เคยบอกเคยสอน เคยเตือนไว้แล้วว่า “เห็นช้างขี้ อย่าขี้ตามช้าง” ต้องรู้จักเท่าทัน กระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกปะทะเข้ามา เฮละโลกันเข้ามา คนไทยก็จะกระดี๊ กระด๊า เฮละโลตาม ในขณะที่คนโบราณสอนเตือนเราไว้ว่าให้เตรียมทุกอย่าง พระเจ้าอยู่หัวฯ ก็สอนว่า ให้ทำอย่างไรให้พออยู่ พอกิน พอใช้ ให้สภาพแวดล้อมพอร่มเย็น รักษาความอุดมสมบูรณ์ไว้ให้ได้ แต่ดูท่าทางแล้วคนหมู่ใหญ่ของสังคมก็ต่างกันพุ่งไปที่จะเอาเกษตรกรที่มีทุกอย่างเปลี่ยนเป็นการค้า เปลี่ยนเป็นเงิน โดยไม่ฟังคำโบราณ
อาจารย์ยักษ์ยกตัวอย่างคำสอนโบราณ ที่ปู่ย่า ตายาย สอนชาวนาว่า “อย่าขายข้าวเดือนสี่ มันจะอัปรีย์จัญไร” “อย่าขายข้าวหน้าลาน มันจะคะลำ” ภาษาอีสานคำว่าพลำ ภาษาเหนือว่า ขึด มีความหมายเหมือนกัน คือ “ไม่ดี” ถ้าจะขายข้าวก็ให้เก็บไว้รักษาข้าวเอาไว้ขายเดือนสิบ เดือนสิบสองนั่นแหละ แต่ดูกระแสในปัจจุบันแล้วก็ดูเหมือนว่าจะพุ่งไปหาเงิน ทั้งๆ ที่เงินนั้นมันก็เป็นของมายา พระเจ้าอยู่หัวฯ ก็สอน ก็เตือนไว้แล้วว่า เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง เงินทองเป็นของนอกกายหาไว้ได้เท่าไหร่ตายไปก็เอาไปไม่ได้ บุญ ทานเท่านั้นแหละที่จะติดตัวไปชาติหน้า แต่ยังไม่เห็นเลยว่าสังคมไทยได้มีการเตรียมพร้อมอย่างไร พระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงสอนว่าการพัฒนาต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน ต้องทำขั้นพื้นฐานให้มั่นคงไม่เดือดร้อน และตอกย้ำด้วยเศรษฐกิจพอเพียง คนโบราณก็สอนก็เตือนแล้ว พระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านก็มาย้ำว่า บรรพบุรุษท่านทำกันมา รู้ว่าเมื่อไหร่ควรทำอะไร เมื่อไหร่ไม่ควรทำอะไร ที่ไหนควรทำอะไร ที่ไหนไม่ควรทำอะไร ถ้าขืนปล่อยกันไป เฮละโลไปจ้องจะเอากำไรกัน เปลี่ยนทุกอย่างเป็นเงินก็เชื่อมั่นว่า ทรัพยากรที่ประเทศมีเหลืออยู่ไม่มากนักก็จะหมดไปด้วย และไม่ใช่แค่ประเทศไทยประเทศเดียวแต่คราวนี้จะเป็นกันทั้งอาเซียน เพราะมุ่งแต่จะไปหาเงินกันทั้งนั้น ที่จะไปสร้างบุญ สร้างทาน เอามาแบ่งปันกัน ช่วยเหลือกันก็พบไม่มากเทาไหร่ สุดท้ายแล้วก็จะหมดตัวกันทั้งอาเซียน จริงหรือไม่จริงอาจารย์ยักษ์ก็อยากให้รอติดตาม สัปดาห์หน้าจะมาชี้ให้เห็นว่าทำไมโบราณถึงเตือนนัก เตือนหนา เพราะว่าท่านรู้จัก “คนไทย” จริงๆ ใช่หรือไม่ +
แหล่งที่มา:
พอแล้วรวย คม ชัด ลึก ฉบับวันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม 2555