เช้าวันนี้อาจารย์ยักษ์ตื่นขึ้นมาพร้อมรับข่าวสารส่งจากเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ ซึ่งเป็นระบบเตือนภัยในเครือข่ายที่พวกเราวางกันไว้สำหรับแจ้งข่าวสารที่จำเป็นผ่านระบบ SMS ด้วยข่าวแผ่นดินไหวระดับ 7.9 ลึกเพียง 10 กม. ที่เม็กซิโก ระดับ 6.2 ที่อินโดนีเซีย และระดับ 4.9 ที่แถวหมู่เกาะนิโครบาร์ หมู่เกาะอันดามัน ในทะเลตรงกับแถวจังหวัดระยอง
ข่าวแผ่นดินไหวทั้ง 3 แห่ง ทำให้อาจารย์ยักษ์ย้อนนึกไปถึงวันที่ขึ้นไปปั่นจักรยานจากน่านลงมาเป็นเวลากว่า 11 วันจนถึงมาบเอื้อง แล้วมาจัดสัมมนาเรื่องน้ำท่วม น้ำแห้งต่อในหัวข้อ “ปีนี้ ปีหน้า น้ำจะมาหรือนาจะแล้ง” เป็นเสวนาปิดท้ายงานมหกรรมที่คนรอฟังกันมาก เพราะอาจารย์ปราโมทย์ ไม้กลัด ตอบรับมาพูดคุยเรื่องวิกฤตภัยแล้ง น้ำหลากปีหน้า ขณะนั่งเสวนากันนั้นอาจารย์ปราโมทย์ก็ได้เล่าถึงสภาวะความเสี่ยงที่เกิด น้ำท่วม ภัยแล้ง ในบ้านเรา ซึ่งก็สอดคล้องกับภาพที่อาจารย์ยักษ์ได้ปั่นจักรยานจากน่านลงมาได้เห็นฝีมือของคนไทยที่ทำลายภูเขา เปลี่ยนภูเขาที่เคยร่มเย็นด้วยต้นไม้อันอุดมสมบูรณ์ ได้ผลิตอากาศให้คนไทยได้หายใจ กลายเป็นภูเขาไฟที่ผลิตหมอก ควัน จนปกคลุมไปทั้งภาคเหนือ จนก่อให้เกิดความเสี่ยงภัยทั้งภัยพิบัติน้ำท่วม น้ำแล้ง อ.ปราโมทย์ได้ย้ำยืนยันว่า เพราะเหตุที่ประชาชนช่วยกันทำลายความสมดุลของป่าต้นน้ำ ทำลายแหล่งน้ำธรรมชาติ ทำลายพื้นที่น้ำหลาก อาจารย์ก็แสดงความห่วงใยว่า ปีนี้คนไทยจะเจออาการหนัก ทั้งน้ำท่วมมาก และภัยแล้งก็จะหนัก ทั้งๆ ที่พระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านได้พระราชทานแนวทางที่จะแก้ไขปัญหา ภัยแล้งและน้ำท่วมไว้ทั้งหมดแล้ว แต่คนไทยก็ไม่ฟัง ซึ่งอาจารย์ยักษ์ก็เห็นว่าคงไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้น น่าจะเป็นเหมือนกันทั่วโลก คนทั้งโลกช่วยกันทำลายระบบนิเวศธรรมชาติด้วยความเชื่อภายใต้ระบบทุนนิยมเสรี ทุกประเทศพยายามที่จะตกลง ทำความร่วมมือเพื่อจะเปิดการค้าเสรีให้ได้ พยายามที่จะทำระบบเศรษฐกิจให้เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งโลก เพราะคิดว่านี้คือทางสร้างให้เกิดรายได้ หลงคิดว่านี่คือ ความเจริญ หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ว ความพยายามทั้งหมดที่ได้พยายามลงไปนั้น คือ ความพยายามในการขุดหลุมฝังตัวเอง
อาจารย์ยักษ์อยากให้ลองคิดดูว่า เมื่อเราทุกคนล้วนมุ่งหน้าสู่การบริโภค ทรัพยากรธรรมชาติของโลกนี้ มีเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ ท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์เองนั่นแหละที่จะไม่มีที่จะอยู่ ไม่มีอาหารจะกิน ไม่มีอากาศไว้หายใจ ไม่มีแผ่นดินเอาไว้รองรับน้ำท่าที่หลากมา ต้องตะเกียกตะกายหนีน้ำกันทุกปี และถึงกับอาจจะต้องลงคลานแทนเดินตามคำพระทำนาย เพราะเหตุแผ่นดินไหว ที่เกิดถี่ขึ้น ถี่ขึ้นนี้
แผ่นดินไหวที่เม็กซิโกนั้น คนไทยอาจคิดว่าห่างไกล ได้ยินจากข่าวรายงานว่าบ้านพังไป 500 หลังคาเรือน ไม่มีตัวเลขคนเจ็บ คนตาย ก็หลงคิดไปเองอีกว่า เมืองไทยนั้นห่างไกลจากเหตุแผ่นดินไหว ไม่มีทางเกิด ไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งที่สิ่งที่ไม่คาดว่าจะเกิด ไม่คาดว่าจะเป็นไปได้นั้น เกิดขึ้นมาให้เห็น “ตำตา” มากมายแล้วก็ยังไม่ตระหนัก อยู่ดีๆ ถนนกลางเมืองกรุงเทพ ก็ยุบลงเป็นหลุมขนาดใหญ่เห็นๆ อยู่ แล้วผืนดินบ้านเราก็มีรอยเลื่อนของเปลือกโลกอยู่ไม่ใช่น้อย ยิ่งเหตุที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ยิ่งแสดงให้เห็นว่าปีนี้น่าจะมีความเสี่ยงมากขึ้น แต่กระนั่นก็ตามไม่ว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้นหรือไม่ก็ตาม ที่แน่ๆ คือมนุษย์ได้ช่วยกันทำลาย ช่วยกันพาตัวเองไปสู่ความอดอยาก ด้วยการทำลายแหล่งอาหาร ทำลายวัฒนธรรมการผลิตอาหารไปเสียจนเกือบหมดสิ้น
อาจารย์ยักษ์ได้ไปบรรยายให้กับโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ เรารักษ์ต้นน้ำจากเอไอเอส สานรัก ในสองวันที่ผ่านมานี้ได้ลองสอบถามข้อมูลจากนักเรียน เป็นการสำรวจวิจัยคร่าวๆ ก็คิดว่า ไม่มีนักเรียนแม้แต่คนเดียวที่อยากจะใช้ชีวิตเป็นนักผลิตอาหาร เป็นนักสร้างป่า สร้างเมือง คนส่วนใหญ่ อยากจะเป็นนักบริโภค เป็นผู้ทำลาย คนที่คิดจะมาเป็นผู้สร้างนั้นไม่มีแล้ว ทั้งที่คนไทยเรานั้นมีวิวัฒนาการในการเป็นผู้สร้างมานับพันปี มีวิถีที่รักเคารพ แม่พระโพสพ แม่พระธรณี บัดนี้ได้ถูกระบบการศึกษาแบบใหม่ ครอบงำโดยสมบูรณ์ เยาวชนรุ่นใหม่ไม่อยากเป็นผู้ผลิต อยากจะมาเป็นคนทำงานกินเงินเดือนในเมือง ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ก็ถูกทำให้เชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน แม้คนที่ลูกหลานไม่มีโอกาสนั่งทำงานห้องแอร์ ชี้นิ้ว ก็เลือกที่จะไปทำงานบริการสบายๆ ในห้องแอร์เหมือนกัน
ดังนั้น อนาคตที่เห็นได้ชัดเจน จึงเป็นอนาคตที่จะไม่มีใครยอมเหน็ดเหนื่อยเป็นผู้สร้าง สร้างอาหาร สร้างดิน สร้างอากาศ เป็นฐานที่มั่นให้มนุษย์ดำรงอยู่รอด วัฒนธรรมรักง่าย รักสบาย จะทำให้มนุษย์ทุกวันนี้อยู่แบบไร้อนาคต หรือหากจะบอกให้ชัดเจนแบบฟันธงไม่ต้องทำนายก็ได้ว่า อนาคตของมนุษย์คือความหายนะอย่างแน่นอน เพราะว่าแม้แต่พื้นฐานความพอเพียง แค่สี่พอ คือ พออยู่ พอกิน พอใช้ พอให้มีสภาพแวดล้อมผลิตอากาศไว้ให้มนุษย์หายใจ ก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ สร้างสรรค์ขึ้นมาไม่ได้ ก็มั่นใจได้ว่า สังคมที่ไร้ความรู้ ไร้คุณธรรมอำไพ ย่อมเดินไปสู่ความบรรลัยแน่...เอย
แหล่งที่มา:
พอแล้วรวย คม ชัด ลึก ฉบับวันเสาร์ที่ 24 มีนาคม 2555