ที่ศูนย์สนับสนุนการอำนวยการและการบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัยและดินโคลนถล่ม (ศอส.) นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะรอง ผอ.ศอส. เปิดเผยว่า ปัจจุบันยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัย 30 จังหวัด ได้แก่ สุโขทัย พิจิตร พิษณุโลก นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี อุบลราชธานี ขอนแก่น ศรีสะเกษ สุรินทร์ ฉะเชิงเทรา นครนายก ปราจีนบุรี เชียงใหม่ ร้อยเอ็ด ลำปาง เลย นครราชสีมา บุรีรัมย์ กำแพงเพชร และตาก ราษฎรเดือดร้อน 2,342,123 คน ผู้เสียชีวิต 253 คน สูญหาย 4 คน
นายวิบูลย์กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ยังอยู่ในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพล เขื่อนแควน้อย มีปริมาณน้ำ 99% เขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำ 98% เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำ 135% และในระยะนี้ร่องมรสุมพาดผ่านพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรง ทำให้มีฝนตกเกือบทั่วไป และฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก และกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงภัยที่ราบลุ่มริมน้ำ ใกล้ทางน้ำไหลผ่าน ใน 12 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพมหานคร นครนายก นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ขอให้ประชาชนระมัดอันตรายจากภาวะฝนตกหนักและน้ำล้นตลิ่ง
นายวิบูลย์กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ จากการติดตามสถานการณ์น้ำ พบว่า สถานการณ์ในพื้นที่ภาคกลางตอนล่างยังค่อนข้างวิกฤต ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมวลน้ำที่ไหลมาจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่งผลให้สถานการณ์น้ำล้นตลิ่งมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น
"ศอส.จึงได้กำชับให้จังหวัดพื้นที่ลุ่มริมแม่น้ำเจ้าพระยาและภาคกลางตอนล่างเตรียมพร้อมรับมือภาวะน้ำล้นตลิ่งเข้าขั้นวิกฤต โดยเร่งเสริมแนวคันกั้นน้ำให้สูงขึ้น พร้อมตรวจสอบคันกั้นน้ำให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง เพื่อป้องกันคันกั้นน้ำพัง ทำให้น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่ที่อยู่ในแนวเขตป้องกัน" รอง ผอ.ศอส.กล่าว
แหล่งที่มา:
http://www.matichon.co.th