ประวัติศาสตร์ชาติไทยจะต้องบันทึกไว้อีกครั้งว่า เมื่อปีพุทธศักราช 2553 น้ำได้ไหลบ่าเข้าท่วมเมืองโคราช จากนั้นก็ขยายไปหลายจังหวัดที่ตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่า “แอ่งโคราช” ซึ่งอาจารย์ยักษ์หลับตานึกเห็นสภาพทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยแล้วก็เข้าใจถึงสาเหตุได้ทันที ว่าทำไม โคราชที่คิดกันว่าอยู่ที่ราบสูงภาคอีสานถึงได้เกิดน้ำท่วมหนักในครั้งนี้
          หากใครติดตามคอลัมน์พอแล้วรวยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คงจะจำได้ว่าอาจารย์ยักษ์เขียนทิ้งท้ายไว้ให้ติดตามความคืบหน้าของขบวนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงภาคประชาชน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม แต่เหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ทำให้อาจารย์ยักษ์เกิดความวิตกว่า วิกฤติ 4 ประการจะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และแสดงผลให้ทุกคนเห็นอย่างไม่อาจปฏิเสธ เช่น น้ำท่วมใหญ่ในครั้งนี้ ตามมาด้วยพายุเมกี ซูเปอร์ไต้ฝุ่นความรุนแรงระดับสูงสุด ระดับ 5 พัดเข้าถล่มฟิลิปปินส์เป็นลูกที่ 10 ของปีนี้ ก่อนข้ามผ่านทะเลจีนใต้เข้าถล่มไต้หวันและจีน ซึ่งยังคงบอบช้ำจากน้ำท่วมหนักก็ต้องมาเจอกับพายุเมกี พายุแห่งตำนานที่จะรุนแรงมากที่สุดในรอบ 20 ปีที่จีนเคยเจอ
          ประเทศไทยยังคงรอดพ้นหายนะจากซูเปอร์พายุไต้ฝุ่นเมกี โดนก็แต่ปลายๆ หางและผลกระทบจากฝนที่ตกยาวนาน แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้เกิดน้ำท่วมไปทั่ว แสดงให้เห็นความไม่พร้อมของระบบการจัดการภูมิประเทศ น่าแปลกใจที่เราเพียรพยายามปลูกป่ากันมาหลายสิบปี ทุกหน่วยงานแห่กันไปปลูกป่าทุกปี นับได้เป็นล้านๆ ไร่ แต่ความเป็นจริงพื้นที่ป่าไม้กลับไม่เพิ่มขึ้น มีแต่จะลดลง
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานแนวคิดเรื่องการจัดการน้ำมากมายหลายแนวทาง ทั้งทฤษฎีแก้มลิง การสร้างฝายชุ่มฉ่ำ การชะลอน้ำด้วยการปลูกหญ้าแฝกแบบขั้นบันได และได้ทดลองทำให้เห็นด้วยพระองค์เอง ด้วยโครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ ทำให้เมืองชุมพรที่น้ำเคยท่วมทุกปี น้ำไม่ท่วมได้ หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้น้อมนำไปปฏิบัติตามในพื้นที่เขตรับผิดชอบของตนก็คงจะช่วยบรรเทาหายนภัยที่จะต้องเผชิญได้
          เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ นอกจากจะทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินแล้ว สิ่งที่จะตามมา และอาจารย์ยักษ์ขอเตือนให้ทุกคนเตรียมรับมือ คือวิกฤติประการที่สอง วิกฤติเศรษฐกิจข้าวยากหมากแพง พื้นที่ปลูกข้าวได้รับความเสียหายอย่างหนัก ทั้งในไทย ในฟิลิปปินส์และที่อื่นๆ ปีหน้าข้าวจะมีราคาแพงกว่าปีนี้ และปีต่อๆ ไปก็จะแพงขึ้นอีก วิกฤติประการที่สามที่จะตามมา คือวิกฤติโรคระบาดทั้งในคน สัตว์ พืช ซึ่งประการนี้อาจารย์ยักษ์ไม่ได้ทำนาย แต่เป็นการเตือนภัยเพราะทุกครั้งที่น้ำท่วมใหญ่ โรคระบาดจะตามมาเสมอ
          ส่วนวิกฤติประการสุดท้าย คือความขัดแย้งทางสังคม ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้คลี่คลายไป หากแต่ตีคู่ข่าววิกฤติการณ์น้ำท่วมเสมือนว่าพวกเขาไม่เคยรู้เลยว่า ณ เวลาที่พวกเขาทะเลาะกัน แบ่งแยกฝ่าย ให้ร้ายป้ายสี สาละวนกับการหักหลัง และติดตามมือดีที่แอบบันทึกและเผยแพร่คลิปนั้น บ้านเมืองกำลังเข้าสู่วิกฤติ พี่น้องประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า เราจึงได้เห็นกันกระจะตาว่าประชาชนต้องดิ้นรนช่วยตนเองกันอย่างไร กว่าความช่วยเหลือจากส่วนกลางจะไปถึง
          ดังนั้น อาจารย์ยักษ์สรุปสุดท้ายฟันธงอย่างมั่นใจว่า สถานการณ์วันนี้สะท้อนให้เห็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่เราทุกคนจะต้องหันมาตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท เพื่อให้ตนเป็นที่พึ่งของตน จากนั้นคนที่พึ่งตนเองได้ให้เกาะเกี่ยวกันเป็นเครือข่าย เป็นร่างแห เป็นเครือข่ายภาคประชาชนที่พร้อมจะยื่นมือช่วยเหลือกันและกันให้รอดพ้นจากมหันตภัยที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรง
          อาจารย์ยักษ์เชื่อว่าฟ้าหลังฝนจะยังคงไม่แจ่มใส แต่จะหม่นมัวแม้พายุผ่าน!

"อาจารย์ยักษ์ มหา’ลัยคอกหมู"