9 ฐานเรียนรู้
ความรู้ที่น่าสนใจ (Documents on web)
ติดต่อเรา
มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ
เลขที่ ๑๑๔ ซอย บี ๑๒ หมู่บ้านสัมมากร สะพานสูง กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐
สำนักงาน ๐๒-๗๒๙๔๔๕๖ (แผนที่)
ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ มาบเอื้อง 038-198643 (แผนที่)
User login
ลิงค์เครือข่าย
โลกนี้มิใช่เป็นของมนุษย์ มนุษย์สิเป็นสมบัติของโลก
“ท่านจะซื้อหรือขายผืนฟ้าและแผ่นดินได้อย่างไร ความคิดนี้เป็นของแปลกประหลาดแก่พวกเรา ท่านจะต้องบอกลูกหลานของท่านว่า ผืนแผ่นดินภายใต้อุ้งเท้าของเราทั้งหลายนี้เป็นเถ้าธุลีของบรรพบุรุษปู่ย่าตายายของเรา ดังนั้นลูกหลานของท่านจะต้องเคารพผืนแผ่นดิน จงบอกลูกหลานของท่านว่า ผืนแผ่นดินนี้มั่งคั่งไปด้วยชีวิตของญาติพี่น้องของเรา จงสอนลูกหลานของท่านเหมือนดั่งที่เราสอนลูกหลานของเราว่า โลกนี้เป็นแม่ของเรา สิ่งใดก็ตามที่บังเกิดแก่โลก ก็จะบังเกิดแก่ลูกหลานของโลกนี้ด้วย ถ้ามนุษย์ถ่มน้ำลายรดพื้นโลก เขาก็ถ่มน้ำลายรดตัวเอง…..โลกนี้มิใช่เป็นของมนุษย์ มนุษย์สิเป็นสมบัติของโลก สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีความสัมพันธ์กัน เสมือนเลือดซึ่งสมานครอบครัวให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างมีความสัมพันธ์กันทั้งสิ้น สิ่งใดที่เกิดขึ้นแก่ผืนแผ่นดิน ก็ย่อมเกิดขึ้นแก่ลูกหลานของผืนแผ่นดิน มนุษย์ไม่ได้ทอโยงใยสร้างระบบสายสัมพันธ์แห่งชีวิตนี้ เขาเป็นเพียงสายใยเส้นหนึ่งในโยงใยนี้เท่านั้น สิ่งใดที่มนุษย์ทำแก่โยงใยนี้ ก็คือทำแก่ตัวเขาเอง”
ข้อความข้างบนนี้ถ้าไม่ทราบที่มา ผู้อ่านหลายท่านก็ต้องเข้าใจว่าเป็นสุนทรพจน์ของนักพูด นักคิดผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียง เพราะช่างเป็นคำพูดที่ลึกซึ้งกินใจและสะท้อนภูมิปัญญาที่ล้ำลึกเสียนี่กระไร แต่นี่เป็นข้อความที่เขียนขึ้นในปี ค.ศ.1855 (พ.ศ.2398) โดยหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงนาม ซีแอตเติ้ล ซึ่งเขียนตอบกลับไปยังประธานาธิบดีแฟรงคลิน เพียร์ช ในคราวที่ประธานาธิบดี แฟรงคลินจะขอซื้อแผ่นดินของคนอินเดียนแดง ข้อความข้างต้นถือเป็นการตบหน้า และสอนคนอเมริกันให้เคารพในธรรมชาติและพระแม่ธรณีของตน และที่สำคัญสอนให้อเมริกันรับรู้ว่ามนุษย์มิได้มิสิทธิใดๆ เหนือโลกใบนี้ มนุษย์ต่างหากที่เป็นสมบัติของโลก หากโลกเป็นอะไรไป มนุษย์ก็มีอันเป็นไปด้วย เมื่อมองให้ลึกลงไปวิธีคิดภูมิปัญญาของอินเดียนแดงก็ไม่ต่างจากภูมิปัญญาตะวันออกของเรา ที่ไม่ได้แยกตัวเองออกจากธรรมชาติ หากมองเราเป็นส่วนหนึ่งที่เสมือน “สายใยเส้นหนึ่งในโยงใย” ของธรรมชาติทั้งระบบ
การปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วง 250 ปีก่อน ที่รากฐานอารยธรรมตะวันตกแบบทุนนิยมเสรีได้ก่อร่างสร้างตนขึ้นมา และกำลังกลายเป็นวัฒนธรรมที่คนทั้งโลกกำลังหลงไหลได้ปลื้ม ซึ่งแยกมนุษย์ออกจากธรรมชาติโดยมองว่า มนุษย์เก่งกว่าธรรมชาติและสามารถจัดการครอบงำธรรมชาติได้โดยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้น ผลที่เกิดขึ้นคือ การพรากธรรมชาติออกจากสภาวะสมดุล เมื่อธรรมชาติขาดดุลยภาพ ก็แสดงอาการต่าง ๆ ที่มนุษย์ไม่ชอบใจ เช่น อากาศแปรปรวน วิปริต น้ำท่วม ดินถล่ม แผ่นดินไหว พายุรุนแรง หากมองในอีกแง่หนึ่ง นี่คือความพยายามของธรรมชาติในการปรับตัวเองเข้าสู่ดุลยภาพ ในระยะยาวธรรมชาติก็ต้องปรับตัวเองให้เข้าสู่ดุลยภาพได้ในที่สุด เพียงแต่ว่าในดุลยภาพใหม่นี้อาจจะ “ไม่มีมนุษย์” อยู่ในระบบธรรมชาติก็ได้ หมายความว่า มีธรรมชาติ แต่ไม่มีมนุษย์ เมื่อถึงตอนนั้น มนุษย์ก็จะเป็นเพียงไดโนเสาร์ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษาเท่านั้นเอง
ขณะที่คนอเมริกันที่มีสติปัญญาเริ่มสำนึกในบาปและความคิดที่ผิดต่อธรรมชาติ และนำเอาข้อความของหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงมาจุดประกายความคิดใหม่ให้กับคนของตนเอง แต่คนไทยส่วนใหญ่ที่ครั้งหนึ่งก็เป็นเจ้าของความคิดแบบนี้เช่นเดียวกันกลับไม่ยอมตื่น ยังหลงอยู่ในป่าลึกของโมหภูมิ เร่ขายผืนดินอันศักดิ์สิทธิ์ที่บรรพชนได้เอาเลือดเนื้อแลกเอามา เพียงเพื่อหวังแค่ เศษเงิน ที่ถูกหยิบยื่นให้ มิต้องมองแค่ชาวบ้านธรรมดาที่อาจอภัยให้ได้เพราะไร้การศึกษา ไร้สติปัญญา แต่บรรดาผู้นำประเทศที่มักอ้างตัวว่าเป็น “อารยชน” อันที่จริงแม้แต่สติปัญญาก็ยังมิอาจนำไปเทียบกับหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงผู้ด้อยการศึกษา แต่มิได้ด้อยในคุณธรรม จิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบต่อบรรพชนและลูกหลานที่จะเกิดต่อไปในอนาคตได้
หากเลือกเกิดได้ ชาติหน้าอาจารย์ยักษ์คงจะขอไปเกิดในดินแดนอารยของอินเดียนแดง หัวหน้าเผ่าซีแอตเติ้ลที่มีวิสัยทัศน์สูงส่ง กว้างไกล ล้ำลึก แทน “สยามประเทศ” ที่ดูเหมือนจะมีวิบากกรรมแห่งการฆ่าฟัน แย่งชิงของผู้นำอย่างไม่มีที่สิ้นสุด