เมื่อทหารติดอาวุธความคิด เศรษฐกิจพอเพียง

     สัปดาห์ก่อนอาจารย์ยักษ์ได้รับเชิญให้ไปเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงให้กับกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งมี พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา เป็นผู้บังคับบัญชา นับว่าเป็นนายพลที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลอย่างน่ายกย่อง ภายในกองพลที่ 1 มีบุคลากรที่เป็นนายทหาร และครอบครัว ประมาณ หมื่นกว่าคน พลทหารอีกร่วม 5000 คน ในพื้นที่นับหมื่นไร่ เพียงแค่นี้ก็เห็นแล้วว่า หากกองพลที่ 1 จะจริงจังในการใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงเข้ามาประยุกต์กับหน่วยงานตนเอง ก็จะสร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้นกับสังคมไทยได้อย่างคาดไม่ถึง เริ่มต้นจากพลทหาร 5000 นายซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ลูกหลานเกษตรกรที่ต้องเข้ามาอยู่ในค่ายทหารถึง 2 ปี ฝึกกลยุทธ์ วิทยายุทธ์ต่างๆ ในการรบเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับใช้ชาติในยามเกิดศึกสงคราม เวลาในค่ายทหาร ถึง 2 ปี เป็นเวลาที่มีคุณค่าและเหมาะสมอย่างยิ่งในการเตรียมให้พลทหารเหล่านี้เข้าถึงทั้งศาสตร์การรบ และ ศาสตร์พระราชา ไปพร้อมๆ กัน เมื่อออกจากกองทัพไปเราก็จะมีผู้นำอีก 5000 คนที่จะกลับเข้าไปในท้องถิ่น ร่วมกับชุมชนอีก 5000 ครอบครัวในการร่วมพลิกฟื้นคืนชีวิตให้แผ่นดิน พัฒนาชุมชนของตนให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป หากทุกกองพลมีวิสัยทัศน์แบบนี้อะไรจะเกิดขึ้นกับชุมชน เพียงแค่นึกก็เป็นพลังอย่างยิ่ง

     แล้วในทางปฏิบัติล่ะจะทำอย่างไร เริ่มต้นก็จากการสร้างจิตสำนึกให้คนทั้งกองพลกลับมาพึ่งตนเอง และสร้างความพอเพียง อย่างน้อย 7 พอ พออยู่ พอกิน พอใช้ พอร่มเย็น พอพลังงาน พอพัฒนาคน พอสื่อสาร เปลี่ยนพื้นที่กว่าหมื่นไร่ให้เกิดประโยชน์กับโลกด้วยการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ด้วยไม้ 5 ระดับชั้น สูง กลาง เตี้ย เรี่ยดิน และใต้ดิน ซึ่งจะเป็นอีกแรงหนึ่งในการสร้าง “ความเย็น” พ่นใส่โลก ช่วยบรรเทาภาวะโลกร้อน สร้างแหล่งน้ำ ธารน้ำให้เป็นที่อยู่ของปู ปลา สัตว์น้ำ แหล่งอาหารชั้นเลิศและมีประโยชน์กับคนในกองทัพ เปลี่ยนพื้นที่บางส่วนให้เป็นนาข้าว ปลูกพืชพลังงาน ทำปุ๋ย สร้างข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นขึ้นมาเอง เช่น น้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า ผักหญ้า อาหารการกิน เครื่องดื่มชนิดต่างๆ จากป่าที่ปลูกขึ้น ซึ่งนอกจากจะรับประกันได้ว่า ให้ประโยชน์ ดีต่อสุขภาพ ยังจะช่วยประหยัดงบประมาณมหาศาลให้กับกองทัพ เพียงแค่คำนวณง่ายๆ ว่า คนหนึ่งคนต้องใช้งบประมาณในอาหาร และเครื่องดื่มต่อคน แค่วันละ 70 บาท คนทั้งกองพล 20,000 คน งบประมาณที่ต้องใช้ต่อวัน ก็มากถึง 1,400,000 บาท 1 ปี ก็ 511,000,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นงบมหาศาล เพียงแค่พึ่งตนเองให้ได้เพียง 1 ใน 4 ก็จะประหยัดเงินได้ถึง 127,750,000 ต่อปี ในหลักความเป็นจริง ไม่ใช่เพียงแค่การประหยัดเงิน แต่เป็นการพัฒนาคนที่ทรงประสิทธิภาพ ในแง่ทฤษฎีแล้วกองทัพเป็นแหล่งเรียนรู้ที่เยี่ยมยอดที่สุดแห่งหนึ่ง เปรียบเสมือนโรงเรียนกินนอนที่นักเรียนต้องใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนถึง 2 ปี มีเวลาในการสร้างงาน สร้างคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีเวลามากพอในการปลูกฝังทักษะและคุณธรรมแห่งปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ดำรงชีวิตอย่างพอประมาณ มีเหตุมีผล ควบคู่กับความรู้ และคุณธรรม และที่สำคัญที่สุดคือการรู้จักพึ่งตนเอง

     กองพลที่ 1 ที่นำโดยพล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ตั้งมั่นที่จะสร้างแบบอย่างของ “กองพลทหารแห่งเศรษฐกิจพอเพียง” ขึ้นมาให้ได้ และหากกองทัพทหารทั้งหมดเปลี่ยนยุทธวิธีในการรบเพื่อบ้านเมืองไม่ใช่แต่เฉพาะการใช้ “อาวุธ” แต่รู้จักใช้ “ปัญญา” แห่งปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในการต่อกรกับศัตรู ซึ่งมิได้มาในรูปของสงครามประจันหน้าใช้อาวุธห้ำหั่นกันอีกต่อไป แต่มาในรูปของสงครามวัฒนธรรม ลัทธิล่าเมืองขึ้นทางวัฒนธรรม หากกองทหารทั้งหมดของประเทศ ร่วม 200,000 คนในกองทัพ ติดอาวุธทางปัญญาเศรษฐกิจพอเพียง สร้างผู้นำเยาวชนพลทหารให้ ออกไปเป็นปราการด่านหน้าในการปกป้องประเทศด้วยการฟื้นฟูฐานทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า ที่ถูกอารยะธรรมล่าเมืองขึ้นของลัทธิบริโภคทำลายเสียจนยับเยินให้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา ขณะเดียวกัน ปกป้องชุมชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเมืองขึ้นทางวัฒนธรรมของต่างชาติ

หากทั้งหมดเป็นความจริงได้ มหัศจรรย์จะเกิดขึ้นกับสังคมไทยอย่างแน่นอน “กรุงศรีอยุธยา ยังไม่สิ้นคนดี”