9 ฐานเรียนรู้
ความรู้ที่น่าสนใจ (Documents on web)
ติดต่อเรา
มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ
เลขที่ ๑๑๔ ซอย บี ๑๒ หมู่บ้านสัมมากร สะพานสูง กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐
สำนักงาน ๐๒-๗๒๙๔๔๕๖ (แผนที่)
ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ มาบเอื้อง 038-198643 (แผนที่)
User login
ลิงค์เครือข่าย
การเมืองไทย : อัตตลักษณ์คนไทย
การเมืองไทย : อัตตลักษณ์คนไทย
ฉบับนี้อาจารย์ยักษ์ขอร่วมถกการเมืองแบบเหล้าเก่าในขวดใหม่ของสังคมไทยสักหน่อย เรามีรัฐบาลใหม่ที่มีรูปร่างหน้าตาแปลกๆ แบบ “เขาสั่งมา” ทุ่มเทเงินทองมากมายกับการเลือกตั้ง จนนักวิจารณ์การเมืองหลายท่านก็ลงความเห็นว่าเป็นการเลือกตั้งที่มีการซื้อเสียง “มากที่สุดในประวัติการณ์” ซึ่งยิ่งสะท้อนภาพ “เอาแต่เปลือก” ของสังคมไทยให้เด่นชัดขึ้น แต่เราก็ยังเรียกมันว่า “ประชาธิปไตย” ทุกคนเฮละโลตีฆ้องร้องป่าวให้ออกไปเลือกตั้ง เมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้วเราก็ภาคภูมิใจกับ “ประชาธิปไตย 5 นาที” กันนักกันหนา
ภาพของการเมืองและรัฐบาลใหม่ช่างสะท้อน “ตัวตน” ที่แท้จริงของประเทศและคนของสยามประเทศนี้ได้อย่างชัดเจนว่า ภายใต้เปลือกที่เป็นประชาธิปไตย แท้จริงลึกลงไป คนส่วนใหญ่ของเรายังยึดติดเหนียวแน่นอยู่กับระบบ “อุปถัมภ์” การพึ่งพาผู้มีอำนาจ มีเงินมีทอง เป็นระบบคิดที่ไม่เชื่อว่าตนสามารถทำอะไรหรือประสบความสำเร็จได้ด้วยตนเอง แต่ต้องพึ่งพาผู้มีอำนาจเหนือกว่า ต้องขอความช่วยเหลืออุปถัมภ์ค้ำชู ชีวิตจึงจะอยู่รอดปลอดภัยได้ ตัวอย่างมีให้เห็นมากมาย ตั้งแต่ความช่วยเหลือจากผู้มีอำนาจในยามเจ็บป่วย ยามขัดสนเงินทอง ฝากลูกเข้าเรียน เข้าทำงาน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีอำนาจ และผู้คนในท้องถิ่น เป็นความสัมพันธ์ที่ถือเป็น “บุญคุณ” ซึ่งต้องตอบแทน และการตอบแทนให้ผู้อุปถัมภ์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่ดีที่สุดคือการ “เทคะแนน”ให้ เพื่อให้เข้ามามีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ขึ้น
ขณะเดียวกันในสังคมที่เป็น “สังคมเมืองขนาดใหญ่” ที่พลังของระบบอุปถัมภ์ได้เริ่มอ่อนแอคลี่คลายลง เพราะผู้คนต้อง “พึ่งตนเอง” แทนการ “พึ่งผู้มีอำนาจ” ผู้คนเริ่มมองหา ผู้นำที่แท้จริง ที่จะนำพาประเทศไปให้รอดแทนการตอบแทนบุญคุณ ความขัดแย้งนี้ทำให้เราเห็นสภาพของ “การเมืองที่ไร้ทิศทาง” เพราะผู้คนกำลัง สับสน หาทางไม่เจอ ไม่มีใครแน่ใจได้เลยว่า บ้านเมืองจะไปทางไหน สังคมจะไปทางไหน และตัวตนของคนแต่ละคนกำลังจะเดินไปทางไหน ชุดผู้นำ จากประชาธิปไตย 5 นาที ที่เราเพิ่งได้ยิ่งตอกย้ำให้เราเห็นว่า เรือที่ผู้คนสยามประเทศนี้กำลังนั่งอยู่เป็น “เรือที่ไร้เข็มทิศ” จริงๆ
สภาพการที่เป็นอยู่ของสังคมถือได้ว่าเป็น สภาวะของอัตตลักษณ์ที่แสดงอาการของ “3ไร้” อาการที่หนึ่งคือไร้ความหมาย (meaningless) ประชาชนแทบไม่รู้ว่าตนเองมีความหมาย มีค่าอย่างไร และเชื่อตลอดเวลาว่าตนเองไม่มีความหมาย ไม่มีค่า และไม่คิดว่าจะมีศักยภาพที่สร้างความหมาย และสร้างคุณค่าของตนเอง จึงตกอยู่ในอาการของการพึ่งพาผู้อื่น ตลอดเวลา อาการไร้อย่างที่สองคือ ไร้อำนาจ (powerless) เมื่อประชาชนอยู่อย่างไร้ความหมาย จึงตกอยู่ในสถานะที่ไร้อำนาจ สำนึกที่ไร้อำนาจนี้สร้างสภาวะที่รู้สึกไม่ปลอดภัย จึงต้องรอคอย พึ่งพารัฐ หรือ ผู้อุปถัมภ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใกล้ตัวหรือไกลตัวอาการอย่างที่สามคือ อาการไร้ความหวัง (hopeless) ประชาชนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าชีวิตจะมีอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยว ไม่มีความหวังกับชีวิต ไม่มีสัมมาทิฐิที่จะใช้ในการตัดสินการดำเนินชีวิต จึงถูกชักจูง หลงไหลไปกับอนามาสวัตถุได้อย่างง่ายดาย สภาวการณ์ข้างต้นบอกความจำเป็นที่จะต้องเร่งสร้าง “สถาบันฝึกอบรมแบบเบ็ดเสร็จ” เพื่อสร้างความรู้ และคุณธรรมแห่งการรู้จักพึ่งตนเองทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและการปกครองให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนให้จงได้ ต้องกับคำกล่าวของพราหมณ์มหาศาลในบทพระราชนิพนธ์พระมหาชนกที่กล่าวไว้ว่า “ข้าพระพุทธเจ้ายังมีศิษย์ที่ดีที่จะประดิษฐานปูทะเลย์มหาวิชชาลัยได้อย่างแน่นอน” “มิถิลายังไม่สิ้นคนดี”