ไทยจะยิ่งยากจนลงเพราะจีเอ็มโอ

     ข่าวความพยายามที่จะผลักดันให้มีการทดลองปลูกพืชที่มีการตัดแต่งพันธุกรรม หรือที่เรียกว่าพืช GMO ในไร่นาจริง ได้กลับมาเป็นข่าวอีกครั้ง ถึงขั้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงมติคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดที่แล้วที่ประกาศให้เกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติ หากจะผลักดันเรื่อง GMO ก็ต้องไปแก้มติคณะรัฐมนตรีวาระเกษตรอินทรีย์เพราะหนึ่งในนโยบายวาระแห่งชาติเกษตรอินทรีย์นั้นแสดงจุดยืนชัดเจนว่าไม่เอา GMO อาจารย์ยักษ์ไม่อยากจะเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้ที่เอาจริงเอาจังนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง ทำตัวแบบปากว่าตาขยิบ  โดยเฉพาะรัฐมนตรีที่ดูแลภาคเกษตร อดทำให้คิดไม่ได้ว่ามีแรงกดดันอะไรหรือไม่จาก บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติที่ต้องการเห็นพืช GMO เกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะนั่นเท่ากับเป็นการกรุยทางให้มีการผูกขาดเมล็ดพืชในอนาคต อันที่จริงกระทรวงเกษตรฯ มีวาระแห่งชาติที่ต้องเร่งกระทำมากมายที่มีความสำคัญมากกว่า GMO หลายล้านเท่า แต่ทำไมไม่ขับเคลื่อน กลับมาให้ความสำคัญกับเรื่องที่ยังไม่มีความแน่นอน แถมแม้แต่ประเทศตะวันตกอันเป็นแหล่งต้นกำเนิดของแนวคิด GMO ประชาชนก็ยังต่อต้านไม่เว้นแต่ละวัน หรือว่าเพราะประชาชนไทยยังโง่ จะหยิบยื่นพิษภัยอะไรมาให้ ก็รับหมดเพราะความไม่รู้ เหมือนยาคุม ยาฉีดที่คนไทยเป็นหนูทดลองยาให้กับบริษัทค้ายาข้ามชาติ ยาอะไรที่ประเทศอื่นที่ประชาชนเค้าฉลาด ไม่เอาแล้ว ก็โละสต๊อกมาขายให้กับคนไทย  เมื่อไหร่รัฐไทยถึงจะทำหน้าที่ปกป้องคนไทย

     อาจารย์ยักษ์อยากจะใช้คำว่า “ประณาม” ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงมติคณะรัฐมนตรีวาระแห่งชาติเกษตรอินทรีย์ เห็นแล้วก็อยากจะ “ลาออก” จากความเป็นคนไทย คนที่ฉลาดแล้ว มีแต่เรียกร้อง ร้องหา เกษตรอินทรีย์  และกว่าจะให้นักการเมืองผู้นำทางนโยบาย ยอมรับเกษตรอินทรีย์ก็ต้องสูญเสียชีวิต เลือดเนื้อ น้ำตา ไปสักเท่าไหร่ รู้หรือไม่ แต่รัฐบาลชุดนี้ ชุดที่ออกมาประกาศให้เดินตามรอยเท้า “พ่อ” ตัวเองกลับทำตัวแบบ “รักในหลวงแต่ห่วงฝรั่ง” ไปดูประเทศที่เค้าเจริญแล้วสิ เกษตรอินทรีย์มีแต่โตวันโตคืน ทุกคนหันกลับมาหา Organic Food กันทั้งบ้านเมือง และโดยเฉพาะในยามที่โลกเจอวิกฤต ภาวะโลกร้อนเพราะสาเหตุที่ทุกอย่างถูกทำให้เป็นอุตสาหกรรมหมด ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม และแม้แต่ประเทศอุตสาหกรรมก็ต้องอาศัย “อาหาร” จากภาคเกษตร เราแน่ใจหรือว่า GMO เป็นคำตอบสุดท้ายของภาคเกษตร มีหลายอย่างที่นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถให้คำตอบได้และไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตัวอย่างง่ายๆ คือ สาร CFC ที่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะมาพบว่ามันคือตัวการที่สำคัญในการทำลายชั้นบรรยากาศของโลก หาก GMO เป็นเหมือนสาร CFC ที่อีกไม่นาน นักวิทยาศาสตร์ก็ออกมาบอกว่ามันเป็นตัวทำลายห่วงโซ่อาหาร มันทำลาย ระบบนิเวศของพืช มนุษย์ไม่สามารถควบคุมอะไรได้อีกแล้ว ถึงตอนนั้นเราจะโทษใคร เรารู้หรือไม่ว่าลึกๆ ลงไป GMO ในแง่การเมืองคืออะไร ขออนุญาตยกเอาคำพูดของ Mr. Ram Gopal ศาตราจารย์ด้านพืชสวน อดีตอาจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียที่ให้ความเห็นว่า พัฒนาการของ GMO ส่วนหนึ่งมาจากความพยายามของบริษัทข้ามชาติปุ๋ยเคมียักษ์ใหญ่อย่างเช่น Monsanto ที่ต้องการควบคุมผูกขาด เมล็ดพันธุ์พืช เพราะกระแสการปฏิเสธปุ๋ยเคมีที่นับวันมีแต่จะมากขึ้น และรุนแรงขึ้น หากบริษัทข้ามชาติปุ๋ยเคมีเหล่านี้ไม่ปรับทิศทางการค้า โอกาสสูญพันธุ์ทางธุรกิจนั้นมีสูงมาก การควบคุมเมล็ดพันธุ์พืชนั้น คือ ทางออกของธุรกิจ เพราะเกษตรนั้นคือ อาหาร พื้นฐานของชีวิตมนุษย์ การที่เกษตรกรต้องพึ่งพาเมล็ดพันธุ์พืช เพราะพืชในไร่นาเป็นหมันเสียแล้วจากการตัดแต่งพันธุกรรม จะปลูกพืชอะไรก็ต้องไปซื้อแม่พันธุ์มาใหม่ และก็ต้องพึ่งเขาตลอดไป ใครไม่รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดข้อนี้ลองถามเกษตรกรที่เลี้ยงไก่ซีพีดู จะได้คำตอบชัดเจน เพราะไก่ซีพี ต้องกินอาหารซีพี ฉีดยาซีพี หาหมอซีพี เกษตรกรแทบจะหมดอิสรภาพในการพึ่งตนเอง

     ในหลวงท่านทรงเคยตรัสว่า “การนำวิชาการจากต่างประเทศมาต้องกระทำด้วยความรอบคอบ รอบรู้ และระมัดระวัง” อยากถามว่า เราเคยนำเอาปรัชญานี้น้อมเกล้าใส่หัวหรือเปล่า ลืมไปหรือเปล่าว่าไทยเคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ทางเกษตรกรรม เรามีภูมิปัญญาที่ล้ำลึกเป็นหนึ่งในโลกทางอาหาร เราหมดความเชื่อมั่นในตนเองแล้วหรือ ตอนนี้เราเป็นเมืองขึ้นด้านวัฒนธรรม ด้านการศึกษา เราจะยอมเป็นเมืองขึ้นด้านอาหารอีกหรือ